เรื่องเล่าความดี-ป้าบุบผา….เยียวยาด้วยใจ

ป้าบุบผา….เยียวยาด้วยใจ

ผู้เขียน : น.ส. สิริอาภรณ์ ธนางทิพย์กุล

ผู้ส่ง : แผนกกายภาพบำบัด โรงพยาบาลมวกเหล็ก

เช้าวันนี้เป็นวันที่คนไข้เยอะเป็นพิเศษ เจ้าหน้าที่ทุกคนวิ่งวุ่นกันตั้งแต่แปดโมงเช้าจนกระทั่งตอนนี้…….11.00 น. ฉันก็ยังคงวิ่งไปมาจนตัวเองยังปวดหัว ตอนนั้นฉันรู้สึกเหนื่อยมากแต่เมื่อมองไปยังทุกคนก็เห็นว่าทุกคนก็เหนื่อยเหมือนๆกันกับเราแต่ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนสิ่งที่ไม่เคยหายไปจากใบหน้าทุกคนก็คือรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ นั่นคงเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันยังคงทำงานได้อย่างมีความสุขจนกระทั่งตอนนี้ ….แต่แล้วไม่นานก็มีคนไข้ซึ่งเป็นเคสใหม่คนหนึ่ง(ป้าผิน นามสมมุติ)ตะโกนขึ้นมาว่า “โอ๊ย…รอนานแล้วนะ นี่ตกลงเมื่อไหร่จะได้ทำเนี่ย นี่ถ้าปวดมากไม่ต้องรอจนคนไข้เดี้ยงไปเลยรึยังไงเห๊อะหมออออ” หลังจากจบประโยคเสียงหัวเราะของทุกคนในห้องก็เงียบลงทันที สักพักหนึ่งก็มีเสียงคุณป้าคนหนึ่งซึ่งเป็นเคสที่เพิ่งมาใหม่เช่นกันพูดขึ้นมาว่า “โอ๊ย…หมอเขาก็ยุ่งเหมือนกันนะป้ามาๆเดี๋ยวฉันช่วยดูให้แทน แล้วก็เดินมาบอกกับฉันว่าเดี๋ยวป้าช่วยถามอาการเขาให้นะ ไม่เป็นไรนะหมอ สักพักคุณป้าก็เดินเข้ามาบอกฉันระหว่างอัลตราซาวน์คนไข้
ป้าบุบผา : นี่หนะหมอป้าคนตะกี้แกปวดหลังตรงนี้(แล้วชี้ให้ดู) เป็นมาอาทิตย์กว่าแล้ว แล้วพอปวดหลังแกก็ปวดขึ้นคอ ปวดคอแล้วก็จะปวดหัว บางครั้งก็ปวดบ่า ไหล่ก็ยกไม่ขึ้น เป็นทั้งตัวเลยหละเนี่ยหมอ…(ฟังเสร็จแล้วฉันถึงเลือกไม่ถูกเลยทีเดียวว่าจะรักษาอะไรก่อนดี)
พลอย (ตะโกนถามคุณป้า) : แล้วป้าผินทำงานอะไรจ๊ะ
ป้าผิน : โอ๊ย..จะไปทงทำอะไรไหวหละหมอ ปวดจะตายอยู่แล้วเนี่ย (อึ้ง O-o) – สงสัยเราใช้คำถามผิดไปเอง
พลอย : แล้วป้าปวดตรงไหนมากที่สุดหละค่ะวันนี้จะได้รักษาให้ก่อนนะค่ะป้า วันนี้คนไข้เยอะมากเลย
ป้าผิน : โอ๊ยมานก็ปวดหมดแหละ บอกไม่ได้หรอกว่าตรงไหน (อึ้ง O-o อีกรอบ) สงสัยต้องเงียบแล้วเรา
หลังจากป้าบุบผาได้ยินคุณป้าก็รีบวิ่งมาหาแล้วบอกว่าไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวป้าไปคุยก่าป้าผินแกเอง หลังจากฉันกำลังง่วนรักษาเคสอื่นๆไปร่วม 30 นาที ฉันก็เดินมาหาป้าผินอีกครั้ง (เดินไปด้วยความเกร็งว่าจะโดนอะไรอีกไหมเรา) แต่ผิดคาดเมื่อฉันเดินไปถึงป้าผินกลับนั่งยิ้มแย้ม หัวเราะกับป้าบุบผา พอฉันถามว่าเป็นไงบ้างตกลงป้าปวดตรงไหน ป้ากลับบอกฉันว่า “เอ่อ…ไม่ค่อยปวดแล้วหมอ เนี่ยอยู่ดีๆมันก็เบาปวดเอง วันนี้คนไข้เยอะ เดี๋ยวฉันเตลิดกลับบ้านก่อนนะหมอ เดี๋ยวหมอก็ค่อยนัดป้ามาวันหลังก่อนก็ได้ วันนี้คนไข้เยอะแล้ว” ฉันถึงกับงง อ้าวตะกี้ป้าบอกปวดมากทนไม่ไหว พอพูดจบป้าผินก็หันไปหัวเราะกับป้าบุบผา ใบหน้าเดิมที่บึ้งตึงตอนนี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แทบจะมองเห็นฟันทุกซี่ เสียงหัวเราะของป้าสองคนพลอยทำให้คนไข้อื่นๆที่นั่งข้างๆเข้าร่วมวงสนทนาและหัวเราะไปด้วย ตอนกลับแกบอกว่าแกมีความสุขที่ได้คุยกับทุกคน แกไม่ค่อยปวดเหมือนเดิมแล้ว
หลังจากแกไป ป้าบุบผาเดินมากระซิบบอกฉันว่า “ป้าผินแกเครียดลูกแกหนีออกจากบ้าน สามีแกก็ไปมีเมียน้อย ตอนนี้แกเครียดมากอยู่บ้านกับหลาน หลานก็ต้องออกไปทำงานค่ำถึงจะกลับ แกเลยต้องอยู่บ้านคนเดียว นี่ป้าก็พยายามพูดให้กำลังใจแกอยู่ เดี๋ยวแกมารอบใหม่หมอนัดป้าตรงกับแกด้วยนะ ป้าจะได้นั่งคุยกับแกอีก แล้วป้าก็อธิบายประวัติอื่นอีกยาวเหยียด”
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือคำถามที่ฉันได้ถูกเรียนมาทุกคำถามป้าบุบผาถามได้อย่างครบถ้วน แต่น่าแปลกคำถามบางอย่างที่ควรถามฉันกลับไม่เคยคิดจะถามมาก่อน ก่อนหน้านี้ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันต้องถามคำถามนี้เมื่อเจอโรคนี้ แต่คำถามบางอย่างที่ควรถามฉันกลับลืมที่จะถาม ฉันถามป้าว่าทำไมป้าถึงรู้ว่าต้องถามอะไรบ้าง ป้าบอกฉันว่า “ป้าไม่รู้หรอกว่าต้องถามยังไงเพราะป้าไม่ได้เรียนสูงนะหมอ ป้าก็ถามเขาตามความรู้สึกของป้านั่นแหละ” ฉันถามป้าต่อว่า “ความรู้สึกอะไรเหรอค่ะป้า ป้าตอบว่า“ก็ความรู้สึกสงสารและเป็นห่วงเขายังไงหละหมอ ถ้าเราเป็นแบบนั้นเราจะรู้สึกยังไง ป้าก็ถามเขาตามนั้นนั่นแหละ”หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาฉันก็ได้เรียนรู้
ว่าบางครั้งเครื่องมือแพงๆที่ใช้รักษาคนไข้ ยังไม่ได้ผลเท่ากับการนั่งคุยกับคนไข้แค่ 5นาที ป้าบุบผาไม่ได้ใช้เครื่องมือหรือความรู้พิเศษอะไรเลย แต่ทำไมคนไข้ดีขึ้น?? มันคือคำถามที่ฉันต้องกลับมานั่งคิด……
หลายครั้งกับการรักษาที่ใช้แค่ตามอง สมองคิด จนทำให้ฉันลืมบางอย่างที่สำคัญคือการรักษาด้วยจิตใจความเป็นมนุษย์ เมื่อไหร่เราใช้ตามองเราจะเห็นแต่ภายนอก ความคิดที่ถูกล้อมกรอบด้วยมาตรฐานวิชาชีพ แต่ถ้าเมื่อไหร่เราใช้ทั้งตาและใจมองคนไข้เราจะเห็นว่าจริงๆมีอะไรอีกหลายอย่างที่บางครั้งไม่ต้องเรียนมาก็รักษาให้ได้ การรักษาใจเป็นอะไรที่ใครๆก็ทำได้ หลายครั้งที่เราเองพบว่าเมื่อเราหยุดพูด หยุดคิด แล้วปล่อยตัวเองสักพักเราจะได้ยินหัวใจเราพูดบอกความต้องการของตัวเอง เช่นกันเมื่อไหร่ที่เราต้องการฟังหัวใจคนอื่นเราก็ต้องพูดน้อยลง ใช้หัวใจฟังเขาให้มากขึ้น …… ทุกวันนี้หากมีใครถามว่ารักษาคนไข้ยังไงคนไข้ถึงดีขึ้น ฉันจะบอกคนเหล่านั้นเสมอว่า “ถ้าเราให้ใจคนไข้ ต่อให้รักษาแบบไหนคนไข้ก็ดีขึ้น”

สิริอาภรณ์ ธนางทิพย์กุล
นักกายภาพบำบัด

Leave a Reply